ปรับขนาดตัวอักษร

ประวัติภาควิชาสันทนาการ

ประวัติภาควิชาสันทนาการ

          ภาควิชาสันทนาการ  คณะพลศึกษา  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  มีที่ตั้งเดิมอยู่ภายในบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ  เลขที่ 154  ถนนพระราม 1  แขวงวังใหม่  เขตปทุมวัน  กรุงเทพฯ ซึ่งเดิมคือวิทยาลัยวิชาการศึกษาพลศึกษา และได้รับการยกฐานะเป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา” สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย  เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2517 
 
          เมื่อวันที่  17  พฤศจิกายน 2532  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  วิทยาเขตพลศึกษา  ได้ยุบรวมเป็นคณะพลศึกษา  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  โดยมีสถานที่ตั้ง 2 แห่ง  คือ  บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ และประสานมิตร  และในปีการศึกษา 2544  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  ได้คืนพื้นที่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติซึ่งเป็นที่ตั้งของคณะพลศึกษา  สนามกีฬาแห่งชาติ  ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้ย้ายทรัพยากร (บุคลากรและวัสดุ ครุภัณฑ์) ส่วนหนึ่งไปยังคณะพลศึกษา มศว องครักษ์  จังหวัดนครนายก  และส่วนหนึ่งย้ายไปรวมที่คณะพลศึกษา  ประสานมิตร  เมื่อเป็นดังนี้  คณะพลศึกษา  จึงได้จัดการเรียนการสอนนิสิตระดับปริญญาตรีของคณะพลศึกษา  คือ ชั้นปีที่ 1–2  เรียนที่องครักษ์ ชั้นปีที่ 3–4  ย้ายไปเรียนที่ประสานมิตร (ยกเว้นวิชาเอกวิทยาศาสตร์การกีฬา ให้เรียนที่องครักษ์ทั้ง 4 ชั้นปี) ในขณะเดียวกันคณะพลศึกษาได้ย้ายที่ทำการและสำนักงานคณบดี ไปที่องครักษ์ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา 2552  โดยส่วนของสำนักงานภาควิชาที่ยังคงอยู่ที่ประสานมิตร คือ ภาควิชาพลศึกษา  ภาควิชาสุขศึกษา และภาควิชาสันทนาการ จะเคลื่อนย้ายไปองครักษ์เมื่อนิสิตทุกชั้นปีที่เรียนอยู่ที่ประสานมิตร สำเร็จการศึกษาทั้งหมด นโยบายของมหาวิทยาลัยและคณะพลศึกษา มีแผนการที่จะเคลื่อนย้ายคณะพลศึกษาทั้งหมดไปที่ มศว องครักษ์  จึงได้กำหนดให้นิสิตที่เข้าศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นไป จะต้องเรียนที่ มศว องครักษ์จนสำเร็จการศึกษา 
 
          คณะพลศึกษา มีภารกิจหลักในการผลิตบัณฑิตระดับการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) ในสาขาวิชาพลศึกษา โดยมีวิชาโทสุขศึกษา ส่วนรายวิชาในสาขาวิชาสันทนาการในระยะเริ่มแรก ยังไม่ได้เปิดเป็นหลักสูตรเฉพาะสาขา ภาควิชาสันทนาการจึงมีบทบาทเพียงในการรับผิดชอบรายวิชาบางส่วน และร่วมบริหารหลักสูตรร่วมกับภาควิชาพลศึกษาเท่านั้น ต่อมาในปีการศึกษา พ.ศ. 2525 ภาควิชาสันทนาการได้เริ่มเปิดสอนหลักสูตรเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก โดยเปิดหลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาสันทนาการ ซึ่งถือเป็นรุ่นบุกเบิกของการผลิตบัณฑิตด้านนันทนาการของมหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2542 ภาควิชาได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับบริบททางวิชาการและสังคมที่เปลี่ยนแปลง โดยปรับชื่อหลักสูตรเป็นวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชานันทนาการ และเริ่มใช้หลักสูตรปรับปรุงกับนิสิตที่เข้าศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป ภายหลังในปี พ.ศ. 2552 ภาควิชาสันทนาการได้พัฒนาหลักสูตรใหม่ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและสังคม โดยเปิดหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (ศศ.บ.) สาขาวิชาผู้นำนันทนาการ ซึ่งเริ่มดำเนินการสอนตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2553 และได้มีการปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องทุก 5 ปี เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของศาสตร์และวิชาชีพด้านนันทนาการ ปัจจุบัน ภาควิชาสันทนาการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (ศศ.บ.) สาขาวิชาผู้นำนันทนาการ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2566)ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาบัณฑิตให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะการเป็นผู้นำด้านนันทนาการอย่างมืออาชีพ พร้อมขับเคลื่อนสังคมแห่งสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
          
          ภาควิชาสันทนาการได้เริ่มดำเนินการจัดการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเปิด หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วท.ม.) สาขาวิชาการจัดการนันทนาการ ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้หลักสูตรเมื่อปี พ.ศ. 2543 เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาในสาขานันทนาการให้แก่ผู้ที่ต้องการพัฒนาความรู้เชิงลึกด้านวิชาชีพ และเพื่อรองรับความต้องการบุคลากรในภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและธุรกิจนันทนาการในยุคปัจจุบันและอนาคต หลักสูตรดังกล่าวได้เริ่มเปิดรับนิสิตรุ่นแรกในปีการศึกษา พ.ศ. 2544 (รุ่นที่ 1) และดำเนินการต่อเนื่องจนถึงรุ่นปีการศึกษา พ.ศ. 2552 (รุ่นที่ 8)ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 คณะพลศึกษาได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาใหม่ เพื่อให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และทิศทางของศาสตร์ด้านการกีฬาและนันทนาการ โดยได้เปิดสอนในหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.) สาขาวิชาการกีฬา นันทนาการ และการท่องเที่ยว และหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) สาขาวิชาการกีฬา นันทนาการ และการท่องเที่ยวหลักสูตรทั้งสองระดับได้รับการอนุมัติในปี พ.ศ. 2552 และเริ่มเปิดสอนตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป ภายในหลักสูตรประกอบด้วย 4 วิชาเอก ได้แก่ การจัดการทางการกีฬา (Sport Management) การสื่อสารทางการกีฬา (Sport Communication) การจัดการนันทนาการ (Leisure Management)การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและนันทนาการ (Ecotourism and Recreation)ทั้งนี้ หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาของภาควิชาสันทนาการยังคงมีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทุก 5 ปี เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของศาสตร์และความต้องการของสังคม โดยปัจจุบันดำเนินการสอนตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.) และ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) สาขาวิชาการกีฬาและนันทนาการ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2566) ซึ่งมุ่งผลิตมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตที่มีความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำทางวิชาการและวิชาชีพด้านการจัดการกีฬาและนันทนาการ 

ปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์และพันธกิจ

ปรัชญา

นันทนาการสร้างคุณค่าพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม

ปณิธาน 

ผลิตบัณฑิตนันทนาการอย่างมีคุณภาพ  เป็นมาตรฐานที่เชื่อถือได้พร้อมที่จะให้บริการแก่สังคมอย่างมั่นใจ

วิสัยทัศน์

1. บัณฑิตและมหาบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ เป็นผู้นำกิจกรรมและนักบริหารจัดการนันทนาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมาตรฐานที่เชื่อถือได้
2. บัณฑิตและมหาบัณฑิตมีความสามารถในการนำความรู้ด้านนันทนาการไปถ่ายทอดสู่ชุมชนและสังคมอย่างถูกต้องสมบูรณ์ด้วยความมั่นใจ
3. มีองค์ความรู้และวิธีการทางนันทนาการเพื่อเผยแพร่สู่ชุมชนและสังคมให้เห็นความสำคัญและรู้คุณค่าของนันทนาการได้เป็นอย่างดีและทั่วถึง
4. มีการศึกษาวิจัยด้านนันทนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นองค์ความรู้หลัก
5. มีการส่งเสริมและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามสืบต่อไป

พันธกิจ

ภาควิชาสันทนาการ มีพันธกิจที่สอดคล้องกับพันธกิจหลักของคณะพลศึกษา และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดังนี้
1. ผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตทางนันทนาการให้เป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม กิจกรรมเด่น  เน้นการเป็นนักพัฒนาที่มีพื้นฐานในการบุคคลตั้งแต่ระดับพื้น      ฐาน คือ ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสติปัญญา ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและรวมถึงการพัฒนาชุมชน สังคมและประเทศชาติส่วนรวม
2. มีการบริหารจัดการอย่างดี  มีความคล่องตัวและมีเอกภาพให้เป็นไปตามหลักการและวิธีการจรรยาบรรณวิชาชีพ
3. ส่งเสริมและดำเนินการวิจัยอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ทั้งในระดับพื้นฐาน ระดับชาติและนานาชาติ
4. สนับสนุนและส่งเสริมให้บริการวิชาการด้านนันทนาการทุกรูปแบบ  สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม
5. ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมตามแนวทางของนันทนาการ
6. ให้มีการประกันคุณภาพและระบบตรวจสอบคุณภาพที่ได้มาตรฐาน